เมนู

ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
อย่างนี้มิได้มี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุ
เหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แหละเมื่อพระองค์
ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ภิกษุ 1,000 รูปนั้น ต่างมีจิตหลุดพ้นจาก
อาสวะ เพราะไม่ถือมั่นดังนี้แล.
จบ อาทิตตปริยายสูตรที่ 6

อรรถกถาอาทิตตปริยายสูตรที่ 6


ในอาทิตตปริยายสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า คยาสีเส ความว่า จริงอยู่สระโบกขรณีแห่งหนึ่งชื่อคยาก็มี
แม่น้ำชื่อว่าคยาสีสะก็มี ศิลาดาดเช่นกับหม้อน้ำก็มี ในที่ไม่ไกลหมู่บ้าน
คยา. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่ที่ภิกษุพันรูปอยู่กันพอ เหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า คยาสีเส ดังนี้ . บทว่า ภิกขู อามนฺเตสิ ความว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงเลือกพระธรรมเทศนาที่เป็นสัปปายะแก่ภิกษุเหล่านั้น
ตรัสเรียกว่า เราจักแสดงอาทิตตปริยายสูตรนั้น.
ในข้อนั้นมีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้:-

เล่ากันมาว่า จากภัททกัปนี้ไป 92 กัป ได้มีพระราชาพระองค์
หนึ่งพระนามว่า มหินทะ ท้าวเธอมีพระเชฏฐโอรสพระนามว่า ปุสสะ.
ปุสสะเชฏฐโอรสนั้นเปี่ยมด้วยบารมี เป็นสัตว์เกิดในภพสุดท้าย เมื่อญาณ
แก่กล้า เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถานแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ. พระ-
กนิฏฐโอรสเป็นอัครสาวกของพระองค์ บุตรปุโรหิตเป็นทุติยสาวก. พระ-
ราชามีพระดำริว่า ลูกชายคนโตของเราออกบวชเป็นพระพุทธเจ้า ลูกคน
เล็กเป็นอัครสาวก ลูกปุโรหิตเป็นทุติยสาวก. พระองค์ให้สร้างวิหารด้วย
พระดำริว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพวกเราทั้งนั้น ทรงล้อม
สองข้างทางด้วยไม้ไผ่ จากพระทวารตำหนักของพระองค์จนถึงซุ้มประตู
วิหาร เบื้องบนรับสั่งให้ผูกพวงของหอมพวงมาลัยที่หอมฟุ้งเป็นเพดาน
เสมือนประดับด้วยดาวทอง เบื้องล่างรับสั่งให้เกลี่ยทรายสีเหมือนเงินแล้ว
โปรยดอกไม้ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาตามบรรดานั้น.
พระศาสดาประทับยินในพระวิหารนั้นแล ทรงห่มจีวรเสด็จมายัง
พระราชมณเฑียร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ภายในม่านทีเดียว เสร็จภัตกิจแล้ว
เสด็จกลับภายในม่านนั่นเอง. ไม่มีใครได้ถวายภัตตาหารสักทัพพี. ลำดับ
นั้น ชาวพระนครพากันโพนทะนาว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
แต่พวกเราไม่ได้ทำบุญกันเลย ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนทั้งหลายเหมือนพระจันทร์พระอาทิตย์ส่องแสง
สว่างแก่คนทั้งปวง แต่พระราชาพระองค์นี้แย่งบุญของคนทั้งหมด.

ก็พระราชานั้นมีพระโอรสอื่น ๆ 3 พระองค์. ชาวพระนครร่วม
ปรึกษากับพระโอรสเหล่านั้นว่า ขึ้นชื่อว่าภายในกับราชตระกูลไม่มี พวก
เราจะทำอุบายอย่างหนึ่ง. ชาวพระนครเหล่านั้นได้แต่งโจรชายแดนขึ้น
ส่งข่าวสาส์นกราบทูลพระราชาว่า หมู่บ้าน 2 - 3 ตำบลถูกปล้น. พระ-
ราชารับสั่งให้เรียกพระโอรสทั้ง 3 มา รับสั่งว่า ลูก ๆ ทั้งหลาย พ่อแก่แล้ว
พวกเจ้าจงไปปราบโจร แล้วส่งไป. พวกโจรที่แต่งขึ้น กระจายกันไปทาง
โน้นทางนี้แล้วมายังสำนักของพระโอรสเหล่านั้น พระโอรสเหล่านั้นให้
ชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่อาศัยพักอยู่ กล่าวว่า โจรสงบแล้ว ได้พากันมายืน
ถวายบังคมพระราชา.
พระราชาทรงพอพระทัย ตรัสว่า ลูก ๆ พ่อจะให้พรแก่พวกเจ้า.
พระโอรสเหล่านั้นรับพระดำรัสแล้ว ได้ไปปรึกษากับชาวพระนครว่า
พระราชาพระราชทานพรแก่พวกเรา พวกเราจะเอาอะไร. ชาวพระนคร
กล่าวว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ช้างม้าเป็นต้นพวกเราได้ไม่ยาก แต่พระพุทธ-
รัตนะหาได้ยาก ไม่เกิดขึ้นทุกกาล ขอท่านทั้งหลายจงรับพรคือการปฏิบัติ
พระปุสสพุทธเจ้าผู้เป็นเชฏฐภาดาของท่านทั้งหลาย. พระโอรสเหล่านั้น
รับคำชาวพระนครว่า จักกระทำอย่างนั้น จึงโกนพระมัสสุ สนานพระองค์
ตกแต่งพระองค์ ไปเฝ้าพระราชา กราบทูลขอว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระ-
องค์โปรดพระราชทานพรแก่พวกข้าพระองค์เถิด. พระราชาตรัสถามว่า
จักเอาอะไรเล่าลูก. พระโอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พวกข้าพระองค์
ไม่ต้องการช้างเป็นต้น ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานพรคือการปฏิบัติ
พระปุสสพุทธเจ้า ผู้เป็นเชฏฐภาดาของพวกข้าพระองค์เถิด. พระราชา

กระซิบที่หูทั้งสองว่า เราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถจะให้พรนี้ได้. พระ-
โอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พวกข้าพระองค์มิได้บังคับให้พระองค์
พระราชทานพร พระองค์มีความยินดีพระราชทานตามความพอพระทัย
ของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ ควรหรือที่ราชตระกูลจะมีคำพูดเป็นสอง
ดังนี้ได้ถือเอาด้วยความเป็นผู้กล่าววาจาสัตย์.
พระราชาเมื่อกลับคำพูดไม่ได้จึงตรัสว่าลูก ๆ พ่อจักให้พวกเจ้าบำรุง
ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน. พระโอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ขอพระองค์โปรดประทานสิ่งที่ดีไว้เป็นประกัน. มีรับสั่งถามว่า ประกัน
ใครเล่าลูก. พระโอรสกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดประทานสิ่งที่ไม่ตาย
ไว้เป็นประกันตลอดกาลเท่านี้ . ตรัสว่า ลูก ๆ พวกเจ้าให้ประกันที่ไม่
ไม่ควร เราไม่อาจให้ประกันอย่างนี้ ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเช่นกับหยาดน้ำ
ค้างที่ปลายหญ้า. พระโอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ถ้าพระองค์ไม่
ประทานประกัน พวกข้าพระองค์ตายเสียในระหว่าง จักกระทำกุศลได้
อย่างไร. พระราชาตรัสว่า ลูก ๆ ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงให้ตลอด 6 ปี.
ไม่สามารถพระเจ้าข้า. ถ้าเช่นนั้น จงให้ 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี
6 เดือน ฯลฯ เพียงเดือนเดียว. ไม่สามารถพระเจ้าข้า. ถ้าอย่างนั้น
จงให้เพียง 7 วัน. พระโอรสรับพระดำรัส 7 วัน. พระราชาได้ทรงกระทำ
สักการะที่ควรจะทำตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ใน 7 วันเท่านั้น.
ต่อแต่นั้น พระราชามีรับสั่งให้ตกแต่งมรรคากว้าง 8 อุสภะ เพื่อ
ส่งพระศาสดาไปยังที่อยู่ของพระโอรสทั้งหลาย. ตรงกลางทรงใช้ช้างย่ำที่
ประมาณ 4 อุสภะ ทำเหมือนวงกสิณเกลี่ยทรายแล้วโปรยดอกไม้. ในที่

นั้น ๆ ตั้งต้นกล้วยและหม้อน้ำมีน้ำเต็ม ให้ยกธงชายธงประฏาก. ทุกๆ อุสภะ
ให้ขุดสระโบกขรณีไว้. กาลต่อมา ให้ปลูกร้านของหอมมาลัยและดอกไม้ไว้
สองข้างทาง. ตรงกลางสองข้างทางของมรรคาซึ่งตกแต่งแล้วกว้าง 4 อุสภะ
ให้นำตอและหนามออกแล้วติดโคมไฟไว้ตามทางซึ่งกว้างชั่วสองอุสภะ. แม้
พระราชโอรส ก็ให้ตกแต่งทาง 16 อุสภะ ในที่ที่ตนมีอำนาจ อย่างนั้น
เหมือนกัน. พระราชาเสด็จไปเขตคันนาของสถานที่พระองค์มีอำนาจ
ถวายบังคมพระศาสดาพลางรำพันตรัสว่า ลูก ๆ พวกเจ้าเหมือนควักตาขวา
ของเราไป แต่พวกเจ้ารับอย่างนี้ไปแล้ว พึงกระทำให้สมควรแก่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย อย่าเที่ยวประมาทเหมือนนักเลงสุรา. พระราชโอรสเหล่านั้น
กราบทูลว่า ข้าพระองค์จักทราบพระเจ้าข้าแล้วพาพระศาสดาไป ให้สร้าง
วิหารมอบถวายแด่พระศาสดา ปรนนิบัติพระศาสดาในที่นั้น ตั้งอยู่ใน
อาสนะของภิกษุผู้เถระโดยกาล ในอาสนะของภิกษุเป็นมัชฌิมโดยกาล
ในอาสนะของภิกษุผู้เป็นสังฆนวกะ ทานของชนทั้ง 3 สำรวจทานแล้ว
ก็เป็นทานอันเดียวกันนั่นแล. พระราชโอรสเหล่านั้น เมื่อจวนเข้าพรรษา
จึงคิดกันว่า พวกเราจะถือเอาอัธยาศัยของพระศาสดาอย่างไรหนอ.
ลำดับนั้นพระราชโอรสเหล่านั้นได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้หนักในธรรม ไม่หนักในอามิส. พวกเราตั้งอยู่
ในศีลแล้วจักอาจยึดอัธยาศัยของพระศาสดาได้ พวกเขาให้เรียกพวกมนุษย์
ผู้จำแนกทานมากล่าวว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงจัดข้าวยาคูภัตรและ
ของเคี้ยวเป็นต้น ถวายทานโดยทำนองนี้แหละ แล้วตัดกังวลในการจำแนก
ทาน.

ลำดับนั้น บรรดาราชกุมารเหล่านั้น เชฏฐภาดาพาบุรุษ 500 คน
ตั้งอยู่ในศีล 10 ครองผ้ากาสายะ 2 ผืน บริโภคนำที่สมควร ครองชีพอยู่.
ราชโอรสองค์กลางเป็นคฤหัสถ์ ราชโอรสองค์สุตท้องปฏิบัติเหมือนอย่างนั้น
พร้อมกับบุรุษ 200 คน. เขาบำรุงพระศาสดาตลอดชีวิต. พระศาสดา
เสด็จปรินิพพานในสำนักของเขาเหล่านั้นเอง.
ราชโอรสแม้เหล่านั้นทิวงคตแล้ว ตั้งแต่นั้นไป 92 กัป ท่องเที่ยว
ไปจากมนุษยโลกสู่เทวโลก จากเทวโลกสู่มนุษยโลก ในสมัยพระศาสดา
ของพวกเรา จุติจากเทวโลกบังเกิดในมนุษยโลก. มหาอำมาตย์เป็นโฆสก
ในโรงทานของเขาเหล่านั้น บังเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งชน
ชาวอังคะและมคธ. ชนเหล่านั้นบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ใน
แคว้นของพระเจ้าพิมพิสารนั่นเอง. เชฏฐภาดาเกิดเป็นคนพี่ ราชโอรส
องค์กลางและองค์สุดท้องเกิดเป็นคนกลางและคนสุดท้องนั่นเอง ฝ่ายมนุษย์
ผู้เป็นบริวารของราชโอรสเหล่านั้นเกิดเป็นมนุษย์บริวารนั่นเอง. ชนทั้ง 3
นั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว พาบุรุษ 1,000 คน ออกบวชเป็นดาบส อยู่ริมฝั่ง
แม่น้ำแขวงอุรุเวลาประเทศ. ชาวอังคะและมคธนำสักการะเป็นอันมาก
ถวายแก่ดาบสเหล่านั้นทุก ๆ เดือน.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย เสด็จออกอภิเนษกรมณ์
บรรลุสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ แล้วทรงประกาศพระธรรมจักร
อันประเสริฐ ทรงแนะนำกุลบุตร มียสะเป็นต้น ทรงส่งพระอรหันต์ 60 รูป

ไปในทิศทั้งหลายเพื่อแสดงธรรม ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง
แล้วเสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศด้วยตั้งพระทัยว่า จักทรมานชฏิล 3 พี่น้อง
ชายเหล่านั้น ทรงทำลายทิฏฐิของชฎิลเหล่านั้น ด้วยปาฏิหาริย์หลายร้อย
แล้วให้เขาเหล่านั้นบรรพชา พระองค์ทรงพาสมณะ 1,000 ผู้ทรงบาตรและ
จีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ไปยังคยาสีสประเทศ อันสมณะเหล่านั้น แวดล้อม
แล้วประทับนั่ง พลางทรงพระดำริว่า ธรรมกถาอะไรหนอ จักเป็นที่สบาย
แก่ชนเหล่านี้ จึงตกลงพระทัยว่า ชนเหล่านี้บำเรอไฟทั้งเวลาเย็นและค่ำ
เราจักแสดงอายตนะ 12 แก่พวกเขา ทำให้เป็นดุจไฟไหม้ลุกโซน
ชนเหล่านี้จักสามารถบรรลุพระอรหัตด้วยอาการอย่างนี้ ลำดับนั้น พระองค์
ได้ตรัสอาทิตตปริยายสูตรนี้ เพื่อแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้น โดยปาฏิหาริย์
หลายร้อย ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ อธิบายว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเลือกพระธรรมเทศนาอันเป็นสัปปายะ ของชน
(ชฎิล) เหล่านั้น จึงตรัสเรียก ด้วยหมายจะทรงแสดงอาทิตตปริยาย
สูตรนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตํ แปลว่าอันไฟติดแล้ว ลุกโชน
แล้ว คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ตรัสทุกขลักษณะไว้ในพระสูตรนี้
ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาอาทิตตปริยายสูตรที่ 6

7. อันธภูตสูตร


ว่าด้วยสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งมืดมน


[ 32 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ พระวิหารเวฬุวัน
กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสกะภิกษุทูลหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นสีมืดมน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงที่เป็นสิ่งมืดมน คืออะไร. คือ จักษุ
รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส เป็นสิ่งมืดมน แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็เป็นสิ่ง
มืดมน มืดมนเพราะอะไร. เรากล่าวว่า มืดมนเพราะชาติ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโน-
วิญญาณ มโนสัมผัส เป็นสิ่งมืดมน แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็เป็นสิ่งมืดมน
มืดมนเพราะอะไร. เรากล่าวว่า มืดมนเพราะชาติ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้
ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ทั้งในรูป ทั้งใน
จักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขม-
สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายทั้ง
ในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส ทั้งใน
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโน-